ก้าวใหม่ของอุตสาหกรรมการผลิตในยุค New Normal และการก้าวไปสู่ Adaptive Manufacturing Enterprise โดยมี ERP เป็นปัจจัยสำคัญ

0

หลังจากที่อุตสาหกรรมการผลิตทั่วโลกเผชิญกับการหยุดชะงักอย่างไม่ทันตั้งตัว จากวิกฤต COVID-19 จะเห็นได้ว่าส่งผลกระทบไปยังอุตสาหกรรมต่างๆ ในแง่ที่ทำให้การผลิตเกิดการหยุดชะงัก การทำงานของคนในองค์กรกลายเป็นแบบ Work From Home ความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้ผู้ผลิตบางรายประสบปัญหาที่ต้องปิดตัวลง ด้วยเหตุผลแตกต่างกัน ในขณะที่บางแห่งกลับต้องเปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมงเนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบโดยรวมต่อการวางแผนการผลิต

ในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ความสำคัญของการผลิตแบบดิจิทัลได้เพิ่มขึ้นเนื่องจากผู้ผลิตต้องดิ้นรน ไม่เพียงเพื่อป้องการการหยุดชะงัก แต่เพื่อรักษาความต่อเนื่องทางธุรกิจ ให้ยังคงดำเนินต่อไปให้ได้อีกด้วย

การผลิตแบบดิจิทัลถือได้ว่าเป็นแนวทางแบบครบวงจรในการวางแผนการดำเนินการ การจัดการต้นทุน การเคลื่อนย้ายวัสดุและการควบคุมแบบเรียลไทม์ ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถใช้ประโยชน์จากดิจิทัลและเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อสื่อสาร วิเคราะห์และใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ได้ดีขึ้น เพื่อให้เป็นไปตามแผนกลยุทธ์ขององค์กร

ในขณะที่ผู้ผลิตต้องก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลนั้น ผู้ให้บริการ ERP หลายรายก็ยังต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการนำระบบ Robotic Process Automation (RPA), Machine learning, Digital twins และอื่น ๆ มาพัฒนา เพื่อให้ระบบมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และพร้อมตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนไปของลูกค้า ให้สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ เพื่อความได้เปรียบในการแข่งขัน

ปัจจัยของ Digital Manufacturing ที่จะช่วยให้การผลิตเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ถึงแม้ว่าเทรนด์ของ Digital transformation เกิดขึ้นมาค่อนข้างนาน แต่มันก็ยังคงส่งผลให้การผลิตในอุตสาหกรรมต้องมีการปรับตัวตาม และทำให้หลายบริษัทต้องมีการลงทุนทางด้านดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากความสามารถของ Digital transformation นี้สามารถเพิ่มผลกำไรและความก้าวหน้าทางธุรกิจได้อย่างก้าวกระโดด จากเดิมที่ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมอาศัยการคำนวณต้นทุนและการคาดการณ์ด้วยตนเอง แบบ Manual ทำให้เกิดความล่าช้าและข้อผิดพลาด การกำหนดและตรวจสอบตัวชี้วัด(KPI) ของกระบวนการผลิตอาจไม่แม่นยำนัก อย่างไรก็ดีด้วยการปรับใช้งานด้านดิจิทัลที่มากขึ้น บริษัทสามารถประเมินปัญหาด้านการผลิตและวัสดุได้อย่างรวดเร็ว ดูข้อมูล วิเคราะห์ได้แบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ยังสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น และเพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินการผลิตอีกด้วย

ตัวอย่างหนึ่งของบริษัทผู้ผลิตอย่าง Akebono ผู้ผลิตวัสดุยานยนต์และชุดเบรก ก็เป็นหนึ่งบริษัทที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถคาดการณ์หรือวางแผนการผลิตและตอบสนองลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว แต่ภายหลังจากการนำโซลูชั่น QAD Automation มาใช้สามารถช่วยให้การคาดการณ์ข้อมูลมีความน่าเชื่อถือและความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น อีกทั้งสามารถเติมเต็มการผลิตตามลำดับความสำคัญ และปรับปรุงความแม่นยำในกระบวนการทำงานอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ระบบที่ใช้ในองค์กรแบบเดิมมักมีข้อจำกัดทางด้านความสามารถในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว รวมทั้งความกดดันจากสถานการณ์ภายนอก ก็จำเป็นต้องมีการประเมินกระบวนการภายในใหม่ เพื่อให้มั่นใจว่าพร้อมที่จะกลับเข้าสู่การผลิตอีกครั้ง รวมไปถึงโครงสร้างพื้นฐานของธุรกิจภายในด้วยเช่นกัน อย่างกลยุทธ์ที่จำเป็นต้องมีความยืดหยุ่นเพียงพอ  เมื่อใดที่ธุรกิจการผลิตมีกลยุทธ์และวิธีการ ในการปรับตัวที่ดี และสามารถเข้าถึงข้อมูล ที่ช่วยวิเคราะห์คาดการณ์ได้แบบเรียลไทม์ นั่นย่อมส่งผลถึงความได้เปรียบในการแข่งขัน ซึ่ง QAD เราเรียก บริษัทเหล่านี้ว่า “Adaptive Manufacturing Enterprises “

ดังนั้นมาดูกันว่าหากองค์กรต้องการก้าวไปเป็นAdaptive Manufacturing Enterprise หรือองค์กรผู้ผลิต ที่มีประสิทธิภาพสูงในการปรับตัวต้องมีคุณสมบัติใดบ้าง

คุณสมบัติ ประการ ของ Adaptive Manufacturing Enterprise

  1. ความชาญฉลาด (Intelligent) การจัดการข้อมูลมีความถูกต้องมากขึ้นและตรวจสอบได้แบบเรียลไทม์ สามารถช่วยให้องค์กรตัดสินใจอย่างเหมาะสมและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
  2. นวัตกรรม (Innovation) การใช้ประโยชน์จากกระบวนการใหม่ๆ และเทคโนโลยีทางดิจิทัลมาเพื่อพัฒนาข้อมูลเชิงลึกทางธุรกิจ เพื่อความก้าวหน้าในประสิทธิภาพการผลิต
  3. ความรวดเร็ว ว่องไว (Agile) การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อมอนิเตอร์ประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มคุณภาพ เพื่อทำให้การตัดสินใจรวดเร็วยิ่งขึ้น และพร้อมรับมือ แก้ปัญหาต่อสถาณการณ์เฉพาะหน้าอย่างทันท่วงที
1. ความชาญฉลาด (Intelligent)

เพื่อการปรับตัวอย่างมีประสิทธิภาพ ข้อมูลถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ผลิต การเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ สามารถช่วยให้องค์กรขับเคลื่อนและเชื่อมต่อกับลูกค้า ซัพพลายเออร์ และอุปกรณ์ได้อย่างทันท่วงที อีกทั้งเพิ่มประสิทธิภาพเชิงกลยุทธ์ให้เหนือคู่แข่งอีกด้วย

ผู้ผลิตหลายรายที่ประสบความสำเร็จ  ได้นำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ อย่างเช่น AI, Machine learning และ Internet of Things (IoT) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรวบรวมข้อมูล ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถช่วยให้ตัวชี้วัด (KPI) วัดผลได้ดีขึ้น ทั้งในด้านการผลิต ห่วงโซ่อุปทาน การเงิน และการดำเนินการอื่นๆ ตัวอย่างวิธีการนำข้อมูลมาใช้ในการตัดสินใจ เพื่อเพิ่มความได้เปรียบในการปรับตัว เช่น

  • ผู้ผลิตรายหนึ่งมีการเปลี่ยนกระบวนการทำงานแบบมือ (Manual) มาใช้ระบบการวิเคราะห์แบบใหม่ ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก รวมถึงมีการแจ้งเตือนเมื่อเกิดปัญหากับผลิตภัณฑ์หรือกระบวนการ  ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการเรียกคืนผลิตภัณฑ์ที่มีค่าใช้จ่ายสูง
  • ผู้ผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์รายหนึ่ง ได้ปรับปรุงกระบวนการของระบบ เพื่อการตรวจสอบข้อมูลแบบเรียลไทม์กับซัพพลายเออร์ ส่งผลให้กระบวนการตรวจสอบมีระยะเวลาสั้นลง และคุณภาพการทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์ดีขึ้น
2. นวัตกรรม (Innovation)

เพื่อการปรับตัวอย่างมีประสิทธิภาพ ธุรกิจการผลิตจำเป็นต้องคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ และสร้างสรรค์สิ่งใหม่โดยใช้เทคโนโลยีในการเก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์ และใช้ข้อมูลเชิงลึกเหล่านั้นเพื่อพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้า ผ่านการเชื่อมต่อด้วยเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า และการใช้แอปพลิเคชั่นมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานพร้อมทั้งสามารถลดต้นทุนได้

ผู้ผลิตที่ให้ความสำคัญกับนวัตกรรมหลายราย เปลี่ยนมาใช้แอปพลิเคชั่นบน Cloud ที่ Low-code/no-code เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งใช้การวิเคราะห์ประสิทธิภาพมาพัฒนาแนวคิดใหม่ๆ ให้เข้ากับธุรกิจอย่างรวดเร็ว

ตัวอย่าง: วิธีนำนวัตกรรมมาใช้ เพื่อความได้เปรียบในการปรับตัวทางธุรกิจ

  • ผู้ผลิตบางรายที่เคยสรุปผลรายงานผ่าน Spreadsheet ในรูปแบบกระดาษ เปลี่ยนมาใช้ฟังก์ชั่นการรายงานผ่านดิจิทัล ซึ่งช่วยลดเวลาในการทำงานมากขึ้น อีกทั้งทำให้สามารถกำหนดค่าใช้จ่ายได้แม่นยำยิ่งขึ้นอีกด้วย
  • แพลตฟอร์มการวางแผนอุปสงค์และซัพพลายเชนที่มีความทันสมัยและยืดหยุ่น ช่วยปรับปรุงการคาดการณ์ข้อมูล อีกทั้งลดต้นทุนด้านการดำเนินงาน โดยระบบเหล่านี้สามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุนแบบ 2 ต่อ 1 และช่วยลดสินค้าคงคลังได้อีกด้วย
  • ผู้ผลิตวัสดุบรรจุภัณฑ์รายหนึ่งได้พัฒนาการลดระยะเวลาการรอคอยสินค้าของลูกค้าและสร้างความน่าเชื่อถือในการจัดส่ง โดยเปลี่ยนไปใช้ระบบที่สามารถตรวจสอบข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่สามารถติดตามสินค้า ซึ่งกลยุทธ์นี้สามารถสร้างผลกำไรให้แก่ธุรกิจได้มากขึ้น
3. ความรวดเร็ว ว่องไว (Agile)

ผู้ผลิตต้องตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจทั้งภายในและภายนอกอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นด้านการวิเคราะห์ ขับเคลื่อนการดำเนินงาน รวมถึงความสามารถในการคำนวณตัวชี้วัด (KPI) เพื่อให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในด้านแรงงาน เครื่องจักร และกระบวนการได้อย่างต่อเนื่อง

องค์กรที่มีความว่องไว จะช่วยให้การจัดการการเปลี่ยนแปลงกระบวนการเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว และสามารถเพิ่มโปรแกรมต่างๆ ที่จำเป็นในองค์กรได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ยังประหยัดทรัพยากรด้านเทคนิค การสนับสนุน และบริการอีกด้วยตัวอย่าง: ทำอย่างไรให้มีความคล่องตัวมากขึ้น เพื่อความได้เปรียบในการปรับตัว

  • ผู้ผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ระดับโลกได้ปรับเปลี่ยนและพัฒนาระบบเดิมทั้งหมด ให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น ระบบที่สามารถจัดเก็บข้อมูลผลิตภัณฑ์ได้หลายขนาดและหลายเวอร์ชั่น ในทุกสาขาทั่วโลก โซลูชั่นนี้ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย รวมถึงลดข้อผิดพลาดจากการทำงานแบบมือ (Manual)
  • การย้ายระบบธุรกิจซึ่งเป็นสิ่งสำคัญขององค์กรไปยังระบบ Cloud ช่วยเพิ่มความคล่องตัวให้กับบริษัท ในการช่วยลดความเสี่ยงทางธุรกิจที่อาจเกิดขึ้น ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดส่ง และลดสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ผู้ผลิตระดับโลกรายหนึ่งพิสูจน์แล้วว่าการสร้างมาตรฐานให้ระบบ ช่วยให้มีความยืดหยุ่นในการจัดการกับพนักงาน สามารถตอบสนองต่อความต้องการที่ผันผวนได้อย่างรวดเร็ว

เพื่อการเป็นองค์กรที่ปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจัยสำคัญ

1. องค์กรต้องสามารถเชื่อมต่อและเข้าถึงการจัดการของซัพพลายเออร์ได้

สำหรับผู้ผลิตที่มีซัพพลายเออร์กระจายอยู่ทั่วโลก และกำลังทำงานร่วมกับคู่ค้าหลายราย จำเป็นต้องมีระบบที่สามารถติดตามกิจกรรมที่เกิดขึ้นระหว่างกันได้ ไม่ว่าจะเป็นยอดคำสั่งซื้อจากซัพพลายเออร์ การเปลี่ยนแปลงของข้อมูล การติดตามสถานะคำสั่งซื้อ เลขที่ติดตามพัสดุ และสถานะการจัดส่ง เป็นต้น

โดยโซลูชั่นที่เชื่อมต่อการสื่อสารแบบเรียลไทม์ระหว่างผู้ผลิตและซัพพลายเออร์นี้สามารถปรับปรุงการมองเห็นของซัพพลายเชน ซึ่งทำให้ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์และอุปทานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

2. องค์กรจะต้องสามารถเชื่อมโยงกับซัพพลายเชนได้

ผู้ผลิตหลายรายมีความท้าทายด้านห่วงโซ่อุปทาน เช่น ข้อจำกัดของการเข้าถึงการทำงานของห่วงโซ่อุปทาน คู่ค้าในห่วงโซ่อุปทานนั้น และความผิดพลาดของข้อมูลของการจัดส่ง รวมถึงอาจจัดส่งสินค้าไปผิดที่ ซึ่งการนำข้อมูลมาใช้เพื่อทำการตัดสินใจ ถือเป็นความชาญฉลาดในการดำเนินงานกับซัพพลายเชน นอกจากนี้การใช้ความสามารถในการคาดการณ์และการดำเนินการธุรกิจการผลิต สามารถติดตั้งการควบคุมกระบวนการแบบ end-to-end เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของการเชื่อมโยงซัพพลายเชนโดยรวมได้ทันท่วงทีด้วยเหตุนี้ผู้ผลิตจึงสามารถทำลายข้อจำกัดกับคู่ค้าในห่วงโซ่อุปทาน และมีความสามารถปรับตัวในห่วงโซ่อุปทานได้อย่างคล่องตัว เพื่อการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและตอบสนองอย่างรวดเร็วต่อการหยุดชะงักในห่วงโซ่อุปทาน

3. องค์กรต้องมีการจัดการกระบวนการในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับการจัดการการหยุดชะงักและการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น ผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านการผลิตจำเป็นต้องเข้าถึงข้อมูลและการวิเคราะห์ทางการเงินแบบเรียลไทม์ โดยข้อมูลเหล่านั้นต้องมีความน่าเชื่อถือและกระบวนการการทำงานต้องมีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาและการเปลี่ยนแปลงปัจจุบันโดยระบบธุรกิจที่มีการวางแผนที่ดีจะช่วยให้มั่นใจได้ว่า บริษัทกำลังทำงานจากข้อมูลทางการเงินและการบัญชีที่มีความน่าเชื่อถือ มั่นคง และสามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้โซลูชั่นแบบบูรณาการสามารถรองรับสกุลเงินต่างๆ ได้อย่างครอบคลุม มีมาตรฐานด้านภาษีและการบัญชีในระดับภูมิภาคและระดับท้องถิ่น ซึ่งทำให้ง่ายต่อการนำไปวิเคราะห์และใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆ

4. องค์กรจะต้องมีการประยุกต์และปรับเปลี่ยนการผลิตให้เป็นแบบดิจิทัล

การผลิตดิจิทัลไม่ใช่แค่การรวบรวมข้อมูล แต่เป็นการใช้ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยประมวลผลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการผลิต การเข้าถึงข้อมูลในการผลิตแบบเรียลไทม์ ความแม่นยำของการประเมินสินค้าคงคลัง การมองเห็นภาพรวมของการผลิต และการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ที่มีอยู่ เป็นต้นอย่างไรก็ดีผู้ผลิตที่มีประสิทธิภาพ จะมองหาเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยสนับสนุนในกระบวนการผลิตและตลอดการดำเนินงาน เพื่อใช้เชื่อมโยงการผลิตเข้ากับธุรกิจอื่นๆ อย่างชาญฉลาด อีกทั้งการประยุกต์เทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ เช่น AI, Machine learning, IoT และ Robotic process automation เพื่อช่วยปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ทันสมัย นอกจากนี้การใช้เทคโนโลยียังช่วยให้ผู้ผลิตสามารถสื่อสาร วิเคราะห์ และแปรข้อมูล เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ด้านต้นทุนและคุณภาพได้ดียิ่งขึ้น

5. องค์กรจะต้องมีการจัดการลูกค้าอย่างสมบูรณ์แบบ

การจัดการลูกค้าถือเป็นประตูสู่ความสำเร็จ ทราบหรือไม่ว่า ลูกค้าของคุณ ประเมินบริษัทของคุณอย่างไร?

จะเห็นได้ว่า ลูกค้ามีความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วตลอดเวลา และบ่อยครั้งผู้ผลิตต้องการการมองเห็นกระบวนการทั้งหมดแบบเรียลไทม์ว่าลูกค้าได้รับประสบการณ์ (Customer experience) อย่างไร พอใจหรือไม่ และมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับสินค้าและบริการ ตั้งแต่การกำหนดราคา ขั้นตอนการสั่งซื้อ ไปจนถึงสินค้าคงคลัง ซึ่งผู้ผลิตจะสามารถตอบสนองต่อลูกค้าได้มากขึ้น หากสามารถรวบรวมข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผู้ที่ปรับตัวได้เท่านั้นที่จะก้าวสู่ความสำเร็จ

กุญแจสู่ความสำเร็จของผู้ผลิต คือ การมีระบบธุรกิจที่มีประสิทธิภาพทั้งในด้านความชาญฉลาด (Intelligent) นวัตกรรม (Innovation) และความคล่องตัว (Agile) ซึ่งทั้ง 3 สิ่งนี้จะช่วยให้ธุรกิจการผลิตมีความยืดหยุ่นตามที่ต้องการ เราเรียกบริษัทเหล่านี้ว่า “Adaptive Manufacturing Enterprises”

ทั้งนี้ QAD ได้ทำการเปิดตัวเครื่องมือวิเคราะห์องค์กรด้วย Adaptive Manufacturing Enterprise Maturity Model Diagnostic ให้ผู้ผลิตสามารถนำไปวิเคราะห์ และประเมินองค์กร (คุณสามารถประเมินองค์กรผ่านลิงค์นี้ได้ฟรีhttps://www.qad.com/th-TH/adaptive-manufacturing-enterprise/diagnostic ง่ายๆ กับ 12 คำถาม เพื่อวัดระดับความสามารถในการรับรู้ และปรับตัวให้เข้ากับวิกฤตการหยุดชะงัก เพื่อพร้อมก้าวสู่การเป็นองค์กรที่สามารถปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้บริษัท สามารถระบุจุดแข็งและจุดอ่อนของธุรกิจ และวิธีการเพิ่มขีดความสามารถในการเติบโตท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน ที่ QAD เรียกว่า Adaptive Manufacturing Enterprise Maturity Model ได้แก่ 

  1. Disjointed Enterprise
  2. Functional Enterprise
  3. Effective Enterprise และ
  4. Adaptive Manufacturing Enterprise 

ซึ่งจะระบุคุณลักษณะเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับความสามารถขององค์กร เพื่อรับมือกับการหยุดชะงักอย่างทันท่วงที

ด้วยการเปลี่ยนแปลงที่มากขึ้น ความรวดเร็วในการตอบสนองคือทุกสิ่งทุกอย่าง ความสามารถในการรับรู้และคาดการณ์ล่วงหน้า มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ผลิตต้องรู้ให้ทัน การเปลี่ยนการหยุดชะงักให้เป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขันเป็นสิ่งสำคัญ

ซึ่ง QAD ได้เปิดตัวเครื่องมือวิเคราะห์องค์กรนี้ ในงานสัมมนาออนไลน์ QAD Tomorrow Thought Stream ในรูปแบบ VDO Stream ไปเมื่อวันที่ 22 กันยายนที่ผ่านมาพร้อมกันทั่วโลก (ชมวิดีโอย้อนหลังได้ที่นี่ https://go.qad.com/AP-TH-FY21-WB-QAD-Tomorrow-th-TH_01-LP-TechTalkThai.html

ในงานมีการนำเสนอแอปพลิเคชั่นของ QAD ที่เกี่ยวข้อง ในการช่วยให้ผู้ผลิตมีความคล่องตัวในการปรับตัวต่อวิกฤตที่เกิดขึ้น การนำข้อมูลมาวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ การวางแผนทรัพยากรขององค์กร (ERP) การวางแผนอุปสงค์และซัพพลายเชน (DSCP) การดำเนินการด้านการค้าและการขนส่งทั่วโลก (GTTE) และระบบการจัดการคุณภาพขององค์กร (EQMS) ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ผลิตกลายเป็นองค์กรที่สามารถปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ซึ่งมิสเตอร์แอนทอล ชิลตัล ซีอีโอ ของคิวเอดี ต้องการที่จะมุ่งเน้นเรื่องราวเกี่ยวกับการรับมือกับการหยุดชะงักที่ไม่คาดคิดในธุรกิจการผลิต รวมถึงความจำเป็นในเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ และการนำ Digital Transformation มาใช้ประโยชน์ เพื่อให้องค์กรกลายเป็น Adaptive Manufacturing Enterprise อย่างสมบูรณ์

สำหรับธุรกิจและอุตสาหกรรมการผลิตที่ต้องการเป็น “Adaptive Manufacturing Enterprises” หรือสนใจสอบถามเพิ่มเติมระบบ QAD Adaptive ERP สามารถติดต่อทีมงาน QAD ประเทศไทย ได้ที่โทร: 02-202-9369 / 02-202-9363 หรืออีเมล: [email protected]  

ข้อมูลเพิ่มเติม http://www.qad.com/th-TH

เกี่ยวกับบริษัท QAD Inc. – Enabling the Adaptive Manufacturing Enterprise

QAD Inc. เป็นผู้นำในการให้บริการซอฟต์แวร์ Enterprise Resource Planning หรือ ERP บนระบบCloud สำหรับบริษัทผู้ผลิตระดับโลก ในขณะที่ผู้ผลิตทั่วโลกต้องเผชิญกับภาวะการหยุดชะงักที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงของความต้องการของผู้บริโภค เพื่อความอยู่รอดและการเติบโตของผู้ผลิต ดังนั้นผู้ผลิตจะต้องสามารถคิดค้นและเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจได้อย่างทันท่วงที QAD เรียกบริษัทเหล่านี้ว่า “Adaptive Manufacturing Enterprises” ด้วยโซลูชั่นที่ QAD มี จะช่วยให้ลูกค้าในอุตสาหกรรมยานยนต์ (Automotive), อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค (Customer Products), อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverage), อุตสาหกรรมสินค้าเทคโนโลยี (High-tech), อุตสาหกรรมหนัก (Industrial) และอุตสาหกรรมด้านอุปกรณ์การแพทย์ ชีวเวชศาสตร์ (Life Sciences) สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างรวดเร็ว

ซอฟต์แวร์ QAD Adaptive ERP สนับสนุนการบริหารจัดการธุรกิจขององค์กรโดยรวม ทั้งดานการผลิต ซัพพลายเชน การเงิน การวิเคราะห์ข้อมูล กระบวนการบริหารจัดการธุรกิจ และการวางแผนทรัพยากรในองค์กร ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

บริษัท QAD ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2522 และ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองซานตา บาบาร่า ในรัฐแคลิฟอเนียร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา และมีสำนักงาน 29 แห่งทั่วโลก รวมทั้งสาขาในประเทศไทย ซึ่งก่อตั้งมากว่า 40 ปี บริษัท ผู้ผลิตกว่า 2,000 รายได้ปรับใช้โซลูชัน QAD รวมถึงการวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) การวางแผนอุปสงค์และซัพพลายเชน (DSCP) การดำเนินการค้าและการขนส่งทั่วโลก (GTTE) และระบบการจัดการคุณภาพ (QMS) เพื่อกลายเป็น Adaptive Manufacturing Enterprise

เขียนโดย : ผู้เชี่ยวชาญจาก QAD Inc.

เรียบเรียงโดย : จีรชญา อัคนิพัชร , Marketing Communications Manager, South Asia : QAD (Thailand) Ltd.