ในทุกปี Gartner จะระบุเทคโนโลยีที่สำคัญกับธุรกิจ และในปีนี้เอง Gartner ได้คาดการณ์ 12 เทรนด์เทคโนโลยีที่จะขับเคลื่อนธุรกิจดิจิทัลและนวัตกรรมในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า ในบทความนี้ ADPT จะสรุปให้ทุกท่านได้รู้จักกับ 12 เทคโนโลยีเหล่านี้ภายใต้ 3 แกนหลัก ดังนี้
Engineering Trust: ความน่าเชื่อถือทางวิศวกรรม
เทคโนโลยีในส่วนนี้สร้างรากฐานด้านไอทีที่ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ด้วยการทำให้มั่นใจว่าข้อมูลนำมาผนวกรวมและประมวลผลอย่างปลอดภัยยิ่งขึ้นบนสภาพแวดล้อมคลาวด์และไม่ใช่คลาวด์ เพื่อทำให้สามารถปรับขนาดพื้นฐานด้านไอทีได้อย่างคุ้มค่า
เทรนด์ที่ 1: Data Fabric
Data Fabric คือ แนวคิดการออกแบบที่ผสานรวมแหล่งข้อมูลที่ยืดหยุ่นระหว่างแพลตฟอร์มและผู้ใช้เพื่อธุรกิจ โดยอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูล Metadata ที่มีอยู่อย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการออกแบบและการใช้ข้อมูลแบบบูรณาการและใช้ซ้ำได้ในทุกสภาพแวดล้อมทั้งแพลตฟอร์มไฮบริดและมัลติคลาวด์ ทำให้ข้อมูลพร้อมใช้งานได้ทุกที่ที่ต้องการไม่ว่าข้อมูลจะอยู่ที่ใด
Data Fabric ใช้การวิเคราะห์เรียนรู้และแนะนำได้ว่า ควรนำข้อมูลไปใช้หรือเปลี่ยนที่ไหน ซึ่งจะช่วยลดกระบวนการจัดการข้อมูลได้ถึง 70%
เทรนด์ที่ 2: Cybersecurity Mesh
Cybersecurity Mesh เป็นสถาปัตยกรรมที่ผสานรวมบริการความมั่นคงปลอดภัยที่แตกต่างและกระจายอย่างกว้างขวาง ช่วยให้โซลูชันด้านความมั่นคงปลอดภัยแบบเดี่ยวทำงานร่วมกันเพื่อปรับปรุงความมั่นคงปลอดภัยโดยรวม พร้อมกับย้ายจุดควบคุมให้เข้าใกล้สินทรัพย์ที่ได้รับการออกแบบมาให้ปกป้องได้มากยิ่งขึ้น โดยสามารถตรวจสอบยืนยันตัวตน บริบท และการปฏิบัติตามนโยบายได้อย่างรวดเร็วและเชื่อถือได้ทั้งในสภาพแวดล้อมคลาวด์และที่ไม่ใช่คลาวด์
เทรนด์ที่ 3: Privacy-Enhancing Computation
Privacy-Enhancing Computation (PEC) เป็นมาตรการควบคุมที่เข้ามาปกป้องการประมวลผลข้อมูลส่วนตัวภายใต้สภาพแวดล้อมที่ไม่น่าเชื่อถือ ซึ่งมีความสำคัญยิ่งขึ้นเนื่องจากการประกาศใช้กฎหมายด้านความเป็นส่วนตัวและการปกป้องข้อมูล ตลอดจนความกังวลของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นด้วย
Privacy-Enhancing Computation อาศัยเทคนิคการปกป้องความเป็นส่วนตัวหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเข้ารหัส การแยกหรือการประมวลผลข้อมูลละเอียดอ่อนก่อนกระบวนการ เพื่อให้สามารถดึงค่าออกจากข้อมูลในขณะที่ยังคงปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัวอยู่
เทรนด์ที่ 4: Cloud-Native Platforms
Cloud-Native Platform คือ เทคโนโลยีที่เปิดให้สร้างสถาปัตยกรรมแอปพลิเคชันใหม่ที่ปรับเปลี่ยนได้อย่างยืดหยุ่นและคล่องตัว ซึ่งช่วยให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลได้อย่างรวดเร็ว โดยพัฒนาระบบขึ้นสู่คลาวด์ ทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้เต็มที่และลดความซับซ้อนในการดูแลรักษา
Sculpting Change: การเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปร่าง
ด้วยโซลูชันเทคโนโลยีรูปแบบใหม่นี้ คุณสามารถปรับขนาดและเร่งการเปลี่ยนองค์กรสู่ดิจิทัลได้ เพื่อตอบสนองกับการเปลี่ยนแปลงอย่างทันท่วงทีด้วยการสร้างแอปพลิเคชันสู่การทำกิจกรรมทางธุรกิจต่าง ๆ ให้เป็นอัตโนมัติได้รวดเร็วขึ้น ใช้ประโยชน์สูงสุดจาก AI ได้อย่างเหมาะสม และทำให้ตัดสินใจได้รวดเร็วและชาญฉลาดยิ่งขึ้น
เทรนด์ที่ 5: Composable Applications
Composable Applications พัฒนามาจากส่วนประกอบต่าง ๆ ที่เน้นธุรกิจเป็นหลัก ซึ่งช่วยให้ง่ายต่อการใช้และนำโค้ดกลับมาใช้ใหม่ และทำให้โซลูชันซอฟต์แวร์ใหม่ออกสู่ตลาดได้เร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งสร้างมูลค่าสุทธิของกิจการเพิ่มอีกด้วย ตัดปัญหาการขาดแคลนทักษะการเขียนโค้ดหรือใช้เทคโนโลยีที่ไม่ตอบโจทย์ได้ตรงจุด
เทรนด์ที่ 6: Decision Intelligence
Decision Intelligence เป็นแนวทางปฏิบัติในการเพิ่มประสิทธิภาพการตัดสินใจขององค์กร โดยจำลองการตัดสินใจแต่ละครั้งเป็นชุดกระบวนการด้วยข้อมูลอัจฉริยะและการวิเคราะห์เพื่อให้ข้อมูล เรียนรู้และปรับการตัดสินใจให้เหมาะสมที่สุด
Decision Intelligence สามารถรองรับและเสริมการตัดสินใจของมนุษย์ อีกทั้งทำให้เป็นกระบวนการอัตโนมัติด้วยการใช้การวิเคราะห์ การจำลอง และ AI เข้ามาช่วยในการสร้างแพลตฟอร์ม Decision Intelligence
เทรนด์ที่ 7: Hyperautomation
Hyperautomation เป็นแนวทางที่ขับเคลื่อนด้วยธุรกิจอย่างมีระบบระเบียบ เพื่อระบุ ตรวจสอบและทำให้กระบวนการทางธุรกิจและไอทีเป็นไปโดยอัตโนมัติให้ได้มากที่สุด ซึ่งช่วยมอบความสามารถในการปรับขยายขนาด การทำงานจากทางไกลและการพลิกโฉมโมเดลธุรกิจ
เทรนด์ที่ 8: AI Engineering
AI Engineering เป็นแนวทางอัปเดตข้อมูล โมเดล AI และแอปพลิเคชันโดยอัตโนมัติเพื่อปรับปรุงการใช้งาน AI ให้มีประสิทธิภาพ เมื่อผนวกรวมกับกรอบการทำงานปัญญาประดิษฐ์แล้ว AI Engineering จะดำเนินการส่งมอบระบบ AI เพื่อสร้างมูลค่าทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
Accelerating Growth: การเติบโตอย่างเร่งด่วน
การลงทุนในเทคโนโลยีด้านนี้ช่วยสร้างมูลค่าทางธุรกิจอย่างเต็มประสิทธิภาพและเสริมความสามารถทางดิจิทัล พร้อมกับช่วยให้ธุรกิจเติบโตและมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น

เทรนด์ที่ 9: Distributed Enterprises
Distributed Enterprises สะท้อนถึงโมเดลธุรกิจที่เน้นดิจิทัลและทางไกลเป็นอันดับแรกเพื่อเสริมประสบการณ์ของพนักงาน สร้างปฏิสัมพันธ์ทุกจุดสัมผัสระหว่างผู้บริโภคและพาร์ตเนอร์ในรูปแบบดิจิทัล และสร้างประสบการณ์ผลิตภัณฑ์
Distributed Enterprises จึงตอบสนองความต้องการของพนักงานและผู้บริโภคที่อยู่ไกลกันได้ดีกว่า ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้ต่างมีความต้องการทั้งบริการเสมือนและการทำงานในสถานที่แบบไฮบริดด้วย
เทรนด์ที่ 10: Total Experience
Total Experience เป็นกลยุทธ์ธุรกิจที่ผสานรวมประสบการณ์พนักงาน ลูกค้า ผู้ใช้งาน และประสบการณ์หลากหลายผ่านช่องทางปฏิสัมพันธ์หลายรูปแบบเพื่อเร่งการเติบโตของธุรกิจ
Total Experience สามารถขับเคลื่อนความมั่นใจ ความพึงพอใจ ความภักดีและการสนับสนุนของทั้งลูกค้าและพนักงานผ่านการจัดการประสบการณ์ของผู้ที่ส่วนเกี่ยวข้องแบบองค์รวม
เทรนด์ที่ 11: Autonomic Systems
Autonomic Systems เป็นระบบทางกายภาพหรือซอฟต์แวร์ที่จัดการด้วยตนเอง ซึ่งเรียนรู้จากสภาพแวดล้อมและปรับเปลี่ยนอัลกอริธึมของตนแบบไดนามิกได้แบบเรียลไทม์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในระบบนิเวศน์ที่ซับซ้อน
Autonomic Systems สร้างชุดความสามารถเทคโนโลยีที่สามารถรองรับความต้องการและสถานการณ์ใหม่ ๆ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และป้องกันการจู่โจมโดยไม่ต้องให้คนเข้ามาช่วย
เทรนด์ที่ 12: Generative AI
Generative AI เป็นรูปแบบหนึ่งของ AI ที่เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุจากข้อมูล และสร้างนวัตกรรมใหม่ที่คล้ายคลึงกับต้นแบบ แต่ไม่ใช่เป็นการทำซ้ำ Generative AI จึงมีประสิทธิภาพในการสร้างเนื้อหาสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ เช่น วิดีโอ และสามารถเร่งวงจรวิจัยและพัฒนาในวงการต่าง ๆ ตั้งแต่ด้านการแพทย์ไปจนถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์