
หลายคนคงมีประสบการณ์การสั่งซื้อสินค้าจากซูเปอร์มาร์เก็ตหรือร้านสะดวกซื้อกันมาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องดื่ม หรือของใช้ส่วนตัว เพียงแค่หยิบมือถือ เข้าแอปฯ แล้วกดสั่งของ ก็จะมีคนมาส่งของให้ถึงที่ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง การใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายนี้ต้องขอบคุณเครือข่ายของร้านค้า “บน Cloud” ที่ทำให้เหล่าร้านสะดวกซื้อและผู้ให้บริการส่งสินค้าอย่าง Grab หรือ Foodpanda สามารถจัดการคำร้องและส่งของถึงมือลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ร้านค้าออนไลน์ขนาดใหญ่อย่าง Lazada หรือ Shopee แม้จะใช้เวลาจัดเตรียมและส่งของนานกว่า แต่ก็มีสินค้าให้บริการเยอะกว่ามาก ตั้งแต่เสื้อผ้า อุปกรณ์กีฬา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไปจนถึงเครื่องใช้ในครัวเรือน

ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนี้ ธุรกิจ e-Commerce มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด โดยเฉพาะในช่วงแพร่ระบาด COVID-19 ที่ร้านค้าออนไลน์กลายเป็นช่องทางหลักในการจับจ่ายซื้อของ คาดการณ์ว่าในประเทศออสเตรเลียที่มีตลาด e-Commerce ใหญ่เป็นอันดับที่ 11 ของโลก จะมีรายได้จากธุรกิจ e-Commerce แตะถึงระดับ 1.2 ล้านล้านบาทในปี 2021 สูงขึ้นจากปี 2020 ถึง 15.5%
สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับธุรกิจ e-Commerce และหลายๆ ตลาด คือ ระบบขนส่งสินค้า เมื่อรายการสินค้าในแต่ละร้านค้าออนไลน์ราคาต่างกันไม่มาก การจัดส่งสินค้าถึงมือลูกค้าอย่างรวดเร็วและมั่นคงปลอดภัยจึงมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ
สินค้าจะส่งถึงมือลูกค้าเร็วแค่ไหน มีการันตีว่าจะจัดส่งตรงเวลาโดยที่สินค้าไม่เสียหายหรือไม่ ระบบคลังสินค้าและขนส่งจัดการกระบวนการต่างๆ ตั้งแต่การรับใบสั่งซื้อสินค้า จัดเตรียมสินค้าจากชั้นวาง บรรจุสินค้าลงกล่องแล้วส่งออกได้เรียบร้อยดีหรือไม่ ลูกค้าจะตรวจสอบสถานะการจัดส่งได้อย่างไร … เพื่อตอบคำถามเหล่านี้ ร้านค้าออนไลน์ชั้นนำหลายแห่งจะใช้ศูนย์ขนส่งสินค้าระดับสูงที่มีการนำระบบอัตโนมัติเข้ามาช่วยลดภาระของพนักงาน
ยกตัวอย่างกรณี Shinsegae ร้านค้าออนไลน์ยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ มีการนำเครื่องคัดสินค้าอัตโนมัติเข้ามาใช้ในปี 2021 เพื่อเลือกสินค้าตามใบสั่งซื้อจากระบบออนไลน์ แล้วทำการบรรจุลงหีบห่อที่มีขนาดเหมาะสม พร้อมส่งออกไปหาลูกค้าได้ภายในไม่กี่นาที ด้วยการทำงานนี้ ช่วยเร่งกระบวนการส่งสินค้าภายในวันนั้นๆ (Same-day Delivery) ณ ศูนย์ “คัดและบรรจุ” ได้มากถึง 6 เท่า จาก 500 สู่ 3,000 รายการในหนึ่งวัน ด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นนี้ กลายเป็นความท้าทายโดยตรงต่อบริษัทคู่แข่งอย่าง Coupang ที่ยังคงใช้แรงงานมนุษย์ และวางแผนจะเร่งประสิทธิภาพการจัดส่งสินค้าด้วยเช่นกัน

การนำระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้ในการบริหารจัดการคลังสินค้า นอกจากจะช่วยลดความผิดพลาดของมนุษย์ให้เหลือน้อยที่สุดแล้ว ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยและสวัสดิภาพให้แก่พนักงานภายในคลังสินค้าอีกด้วย ปัจจุบันนี้ หุ่นยนต์และรถเข็นอัตโนมัติสามารถช่วยยกของขนาดใหญ่ได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ซึ่งช่วยเพิ่มความเร็วในการจัดเตรียมสินค้าให้พร้อมบรรจุลงหีบห่อเป็นอย่างมาก เมื่อสินค้าถูกส่งได้เร็วขึ้น ย่อมทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่ที่ไม่ได้สั่งให้จัดส่งแบบเร็วเป็นพิเศษมีความพึงพอใจและยังคงเลือกใช้บริการต่อไปเรื่อยๆ
ในปี 2021 ที่เกาหลีใต้ นักดับเพลิงรายหนึ่งต้องเสียชีวิตอย่างเศร้าสลดจากเหตุไฟปะทุ ณ ศูนย์ขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองโซล ความสูญเสียนี้ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ออกมาต่อต้านและเรียกร้องให้ศูนย์ขนส่งสินค้าดังกล่าวมีความรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของสถานที่ทำงานมากขึ้น ส่งผลให้บริษัท e-Commerce ในปัจจุบันต้องการันตีความปลอดภัยและสวัสดิภาพของพนักงานว่าจะไม่ถูกลดหย่อนแม้จะต้องแข่งขันด้านความเร็วในการจัดเตรียมและขนส่งสินค้ากับคู่แข่งรายอื่นๆ
ด้วยเหตุนี้ ระบบคลังสินค้าอัตโนมัติ (Warehouse Automation) อย่าง Stratus Technologies จึงเข้ามามีบทบาทในการช่วยจัดเตรียมสินค้า บรรจุหีบห่อ และค้นหาเส้นทางส่งสินค้าที่ดีที่สุด เทคโนโลยี AI และการปฏิบัติงานอย่างอัตโนมัติตลอดทั้งปีกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจ e-Commerce ประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัล
คลังสินค้าในปัจจุบันมีการนำเซ็นเซอร์อัจฉริยะจำนวนมากเข้ามาใช้ เพื่อทำให้กระบวนการมีความทันสมัยและทำงานได้อย่างไร้รอยต่อ อุปกรณ์ IoT เหล่านี้จำเป็นต้องพึ่งพาการเชื่อมต่อแบบ Low-latency ที่ปลายสุดของระบบเครือข่าย หรือก็คือ ณ ตู้ Rack ของคลังสินค้า เพื่อให้ทั้งพนักงานและลูกค้าสามารถค้นหาและตรวจสอบสถานะของสินค้าได้ทันที นอกจากนี้ เครือข่าย IoT นี้ต้องอัจฉริยะเพียงพอที่จะดำเนินการตัดสินใจได้แบบเรียลไทม์ เมื่อตรวจพบว่ามีสินค้าสูญหายหรือได้รับความเสียหาย

เมื่อต้องพึ่งพาระบบดิจิทัลมากขึ้น การมีระบบที่สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของบริษัท e-Commerce โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการค้าออนไลน์ต้องดำเนินแบบ 24/7 และต้องจัดส่งสินค้าภายในหลักชั่วโมง การเกิด Downtime ของระบบดิจิทัลจะทำให้เกิดการสูญเสียทั้งรายได้และความพึงพอใจของลูกค้า ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่บริษัท e-Commerce ชั้นนำจะยอมรับได้
อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ คือ ระบบดิจิทัลที่ต้องการทำงานได้ดีแค่ไหน การซื้อและติดตั้งระบบที่มีความซับซ้อนมีแต่จะทำให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น อัปเกรดได้ยาก และกินเวลามากเมื่อต้องปรับเปลี่ยนระบบในอนาคต เหล่านี้ทำให้ธุรกิจขาดความคล่องตัว ซึ่งเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่สำคัญของธุรกิจ E-commerce ดังนั้นแล้ว สิ่งที่จำเป็นจริงๆ คือ ระบบดิจิทัลที่ง่ายต่อการติดตั้ง ใช้งาน และบริหารจัดการ มีระบบอัตโนมัติในตัว ถึกทน และมีความเสถียรเพียงพอที่ไม่ต้องให้ฝ่าย IT คอยติดตามและเฝ้าระวังตลอดเวลา รวมไปถึงสามารถป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์และการหยุดทำงานอย่างไม่คาดฝันอันเนื่องมาจากฮาร์ดแวร์ล้มเหลวได้ อย่างระบบของ Stratus Technologies
อย่าลืมว่าธุรกิจ e-Commerce จะเกิดหรือจะดับขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของลูกค้าเป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันนี้ชี้วัดได้จากความเร็วและความปลอดภัยในการจัดส่งสินค้าถึงมือลูกค้า โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่มีอัตราการแข่งขันสูง หลายธุรกิจ e-Commerce จึงพยายามเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ระบบ Digital Warehouse Management เพื่อเร่งประสิทธิภาพการทำงานอย่างอัตโนมัติและการขนส่งสินค้าอย่างรวดเร็วและปลอดภัย การมีระบบขนส่งสินค้าที่มั่นคงแต่คล่องตัวช่วยให้ธุรกิจ e-Commerce สามารถตอบรับความคาดหวังของลูกค้าที่เพิ่มสูงขึ้น รวมไปถึงยกระดับประสิทธิภาพของการจัดส่งสินค้าและลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ
ธุรกิจ e-Commerce ที่สนใจพลิกโฉมการดำเนินธุรกิจสู่ยุคดิจิทัล สามารถเลือกใช้บริการจาก Stratus Technologies ผู้นำด้าน Availability Solutions สำหรับธุรกิจ e-Commerce ได้ที่ https://www.stratus.com/industry/retail/