การแพร่ระบาดวงกว้างของเชื้อไวรัส COVID-19 กระทบต่อธุรกิจค้าปลีกโดยตรง ทว่า Walmart บริษัทธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ในสหรัฐอเมริกากลับทำรายได้รวมในปี 2563 ซึ่งเป็นปีแรกในปีงบประมาณที่เผชิญกับสถานการณ์ COVID-19 ได้สูงถึง 559 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มจากปีก่อนหน้าถึง 44.6 พันล้านดอลลาร์ แล้วปัจจัยอะไรที่ทำให้รายได้ของ Walmart กลับเพิ่มสูงขึ้นสวนทางกับสถานการณ์โลกเช่นนี้?
คำตอบก็คือ การนำ Internet of Things (IoT) แบบใหม่เข้ามาผนวกรวมกับการทำงานของธุรกิจเพื่อรักษาคุณภาพสินค้าและปริมาณการใช้พลังงานที่ลดลง นั่นเอง
เพราะในแต่ละวันบริษัทได้รับข้อความราว 1.5 พันล้านข้อความและต้องวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาล การนำซอฟต์แวร์กรรมสิทธิ์ที่มีการประยุกต์ใช้ dashboard ระบบคลาวด์เพื่อจัดการข้อมูลและตรวจจับเหตุผิดปกติ อย่างเช่นเครื่องทำความเย็นล้มเหลว ก็ทำให้บริษัทเข้าแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที และยังคงสร้างผลกำไรให้กับธุรกิจได้
เส้นทางของ Walmart ที่นำไปสู่การใช้งาน IoT ในการบริหารจัดการนั้นเกิดจากเป้าหมายแรงขับเคลื่อนสำคัญ 3 ประการ คือ
- การใช้ประโยชน์จาก IoT ในระดับความสามารถของ Walmart
- การเป็นศูนย์ควบคุมจัดการข้อมูลหรือ control plane เพื่อจัดวางข้อมูลและเปลี่ยนเป็นข้อมูลธุรกิจเชิงลึก
- การรักษาความสัมพันธ์เพื่อประสบการณ์ของลูกค้า
กว่า Walmart จะสามารถยืนหนึ่งบนเส้นทางนี้ได้นั้น ก็ย่อมพบกับอุปสรรคในช่วงเปลี่ยนผ่านเช่นกัน จากเดิมที่อุปกรณ์ทุกชนิดในร้านนั้นมาจากผู้ผลิตหลากหลายเจ้า และมีอินเทอร์เฟสการเชื่อมต่อที่ต่างกันออกไป สิ่งที่ Walmart ต้องทำก็คือ ทำให้ชุดข้อมูลทั้งหมดจากต่างเครื่องจักร ต่างอุปกรณ์ ต่างผู้ผลิตนั้นเป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยใช้ IoT เข้ามาช่วย เปรียบเสมือนการให้เครื่องมือเหล่านั้นพูดภาษาเดียวกันทั้งหมด
ลองมาดูตัวอย่างที่ Walmart นำ IoT ไปประยุกต์ใช้กัน
- Walmart IoT specification: Walmart ได้พัฒนาซอฟต์แวร์ที่ใช้ควบคุมอุปกรณ์ทุกอย่างได้ เมื่อเชื่อมต่อกับ control plane ได้แล้ว ก็สามารถจัดวางข้อมูลไว้ได้ทั้งแบบเอดจ์ (edge) หรือแบบคลาวด์ (cloud) และจัดการได้ในรูปแบบ cloud-agnostic นับเป็นการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานทั้งในศูนย์ข้อมูลของบริษัทและในฐานะผู้ให้บริการคลาวด์ชั้นนำ
- ระบบ IoT ในร้านสาขา: ระบบเครื่องทำความเย็นอย่างตู้แช่ไอศกรีมหรือพิซซ่าแช่แข็งที่มีเซนเซอร์ควบคุมการทำงานอย่างเสถียรและต่อเนื่อง ซึ่งเชื่อมต่อกับตัวควบคุมในร้านและดึงสัญญาณ telemetry ของอุปกรณ์ ทำให้ไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของอาหารที่แช่ไว้ แต่กลับยังคงประสิทธิภาพการทำงานของชุดเครื่องทำความเย็นไว้ได้ดีขึ้นโดยเฉลี่ยถึง 30%

- สถาปัตยกรรมประหยัดพลังงานบนคลาวด์: Walmart ปรับวางข้อมูล use case แบบผสมตามปณิธานการลดใช้พลังงาน หาก use case ไหนมีค่าเวลาแฝง (latency) ต่ำ ก็จะจัดวางข้อมูลไว้ที่เอดจ์ ส่วนข้อมูลแบบอื่นจะถูกสตรีมไว้ในคลาวด์
- Spring Boot และ .NET Core: เฟรมเวิร์กพัฒนาภายในโดย Walmart ตามกลยุทธ์ที่ต้องการให้สร้างซอฟต์แวร์เป็น cloud-agnostic ดังนั้น Walmart จึงใช้เฟรมเวิร์กและภาษาที่ใช้กันทั่วไป เช่น Java, Embedded C, React, Node JS และ Linus
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้แน่ใจว่า IoT pipeline software สามารถเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานได้เหมาะสม ตัดปัญหาเรื่องเวลาแฝง (latency) และการเชื่อมต่อ (connectivity) ออกไป อีกทั้งยังเป็นการลดการใช้พลังงานเพราะระบบรู้ว่าควรจัดวางข้อมูลในรูปแบบใดเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
เจอ COVID-19 เข้าไป Walmart เดินหน้าต่อไปอย่างไร?
เมื่อพบกับอีกหนึ่งความท้าทายของสถานการณ์ COVID-19 แพร่ระบาด Walmart ก็ปรับแผนการทำงานโดยลดจำนวนชั่วโมงทำงานในร้าน เพื่อให้พนักงานเติมสินค้าและทำความสะอาดฆ่าเชื้อเพื่อลูกค้า และยังมีระบบ in-house ของ Walmart ที่เรียกว่า Demand Response ที่สามารถควบคุมอุณหภูมิในร้านตามช่วงเวลาเปิดร้าน และแทนที่จะใช้วิธีการแบบ manual ก็ใช้ระบบประมวลผลประสิทธิภาพสูง (high-performance computing systems หรือ HPC) ที่ควบคุมจากทางไกลได้ ในด้านความสามารถทางการผลิตนั้นก็เป็นการช่วยธุรกิจไปในตัว และในแง่ของความยั่งยืนนั้นก็ช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าไปได้ถึงขนาดเท่ากับที่ครอบครัวกว่า 20 ครัวเรือนใช้ใน 1 ปี

ข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งก็คือ บริษัทผันตัวเองมาเป็นผู้สร้างซอฟต์แวร์ที่ทำให้ชุดข้อมูลเป็นมาตรฐานเดียวกันและควบคุมข้อมูลได้ด้วย IoT จากอุปกรณ์เหล่านั้น ทำให้สามารถแปลงข้อมูลให้กลายเป็นข้อมูลเชิงลึกประกอบการตัดสินใจของธุรกิจได้ทันท่วงที อีกทั้งมีการนำการสตรีมข้อมูลแบบเรียลไทม์และเพิ่มความเร็วในการระบุและแก้ปัญหาได้อย่างแม่นยำ การมีพื้นฐานเช่นนี้ทำให้ Walmart รับมือกับปัจจัยภายนอกได้อย่างรวดเร็ว เช่น การปรับเวลาทำการสาขาเพียงชั่วข้ามคืนในช่วงเริ่มต้นของ COVID-19 เรียกได้ว่า Walmart ยังคงเดินหน้าต่อไปได้ในแง่ของการผลิตและในขณะเดียวกันยังสร้างความยั่งยืนตามความตั้งใจของบริษัทอีกด้วย
แน่นอนว่า Walmart ยังไม่หยุดอยู่กับแค่ IoT เท่านั้น ทางบริษัทยังคงมองหาวิธีการที่จะเพิ่มประสบการณ์ลูกค้าและสร้างผลกระทบต่อชุมชนที่ให้บริการ โดยจะคอยอัปเดตอัลกอริธึมระบุแนวโน้มระหว่างสิ่งที่ข้อมูลต้องการสื่อและวิธีการตอบสนองของบริษัท อีกทั้งจะยังคงหาเครื่องมือที่ใช้เชื่อมต่อได้ในการวิเคราะห์ปัญหาและการบำรุงรักษาเชิงรุกเพื่อประโยชน์ของลูกค้าเอง